เมื่อราวๆ 10 ปีที่แล้ว หรือช่วง ค.ศ. 2010 ทั้ง สิงคโปร์ ฮ่องกง โซล และไทเป ได้ริเริ่มการวางแผน Smart City ของตัวเองในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน ทว่านับจากเวลานั้นการพัฒนาของทั้ง 4 เมืองล้วนมีวิถีที่ต่างกันออกไป
สำหรับสิงคโปร์และฮ่องกงนั้น สองเมืองนี้ ต่างมีแผนระดับ Master Plan หรือแผนแม่บทของตัวเอง ซึ่งเป็นการวางแผนจากภาพกว้างก่อนแล้วค่อยไปสู่การลงรายละเอียด สิงคโปร์มาพร้อมกับแผน Smart Nation เป็นแผนแม่บท ส่วนฮ่องกงก็มี Smart City Blueprint ของตัวเอง ขณะที่ไทเปและโซล มีจุดเริ่มต้นที่ต่างจากสิงคโปร์และฮ่องกง ตรงที่ในขั้นริเริ่ม Smart City ของสองเมืองนี้ พวกเขาให้การโฟกัสกับการเอาใจใส่ผู้คนในเมืองเป็นหลัก นับตั้งแต่ขั้นการเริ่มต้นวางแผนตลอดจนการดำเนินงานไปข้างหน้า
แม้ว่าทั้งโซลและไทเป จะเป็นเมืองที่ได้จัดอยู่ในระดับของเมืองที่ล้ำหน้าไปแล้วทั้งคู่ ในเรื่องของแอปพลิเคชั่นและเทคโนโลยีที่พลเมืองใช้ แต่ทั้งสองเมืองนี้ก็มีรูปแบบของ Smart City ที่ต่างกัน
หากพูดถึงโซล เราอาจยกตัวอย่าง จากสำนักนายกเทศมนตรีดิจิทัล ที่นั่นมีจอขนาดยักษ์ที่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่ามีอะไรกำลังเกิดขึ้นในเมืองบ้าง พร้อมกับข้อมูลแบบ real-time ณ ขณะนั้น สำหรับการคมนาคมขนส่ง นอกจากนั้นยังมีข้อมูลด้าน คุณภาพอากาศ , อุบัติเหตุและภัยพิบัติซึ่งดึงข้อมูลได้จากระบบ monitor เกือบ 300 ระบบ และ กล้อง CCTV อีกกว่า 1,200 ตัว และข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับนายกเทศมนตรีเท่านั้น แต่ข้อมูลทั้งหมดนี้มีพร้อมให้พลเมืองทุกๆ คนได้ใช้ประโยชน์
ขณะที่ไทเปก็เป็นหนึ่งในเมืองที่ได้อยู่ในลำดับสูง ของ Global Open Data Index หรือ ดัชนีการเปิดเผยข้อมูลทั่วโลก และไทเปยังเป็นเมืองที่มีการดำเนินการในเรื่องของห้องปฏิบัติการที่มีชีวิต สำหรับ Smart City อีกด้วย ซึ่งห้องปฏิบัติการนี้หรือห้องทดลองนี้ ก็เป็นสถานที่ที่ไม่ว่าใครก็ตามสามารถเข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็น , ทดลอง และสร้างไอเดียความคิดต้นแบบให้กับเมืองของตนได้
ซึ่งในแต่ละปี ห้องทดลองแห่งนี้ยังได้รับคำแนะนำกว่าหลายร้อยคำแนะนำจากพลเมืองสำหรับโครงการต่างๆ ซึ่งคำแนะนำที่ดีที่สุดจะถูกนำไปเป็นต้นแบบอย่างรวดเร็ว และจะถูกทดสอบโดยท้องถิ่น เพื่อดูว่าแนวความคิดเหล่านี้ใช้งานได้จริงไหม และเป็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน และถ้าความคิดใดที่ประสบความสำเร็จก็จะถูกทำให้เกิดผลจริงกับเมืองทั้งเมือง
จุดแข็งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสิงคโปร์ ก็คือวิธีการที่รัฐบาลของสิงคโปร์มีความตั้งใจที่จะเผยแพร่ประเด็นเรื่อง Smart Nation ต่อพลเมืองในประเทศ เพื่อสร้างความแน่ใจกับพลเมืองทุกคนว่า เทคโนโลยีนั้นสามารถยกระดับชีวิตประจำวันของพวกเขาได้มากแค่ไหน ซึ่งสิงคโปร์ก็มีความต้องการที่จะให้พลเมืองเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการนี้
และสิงคโปร์ยังเป็นเมืองเก่งในเรื่องของการสร้างการมีส่วนรวมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในเรื่องของแอปพลิชันในอนาคตสำหรับเทคโนโลยีอัจฉริยะอีกด้วย
สำหรับฮ่องกง ถือเป็นเมืองที่มีความเป็นผู้นำสูงในด้านการจัดวางโครงสร้างระดับใหญ่ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้เห็นการพัฒนาของเมืองอัจฉริยะ ในฐานะของแผนการแห่งอนาคตสำหรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่แม้ต้นแบบของฮ่องกง จะไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือยึดถือไว้อย่างถาวร แต่ทิศทางของแผนก็ยังคงมาจากการจัดตั้งโดยคณะกรรมการกระทรวงนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งนำโดยผู้บริหารสูงสุด
การจะเป็น Smart City นั้น อาจไม่ใช่แค่การมีเงินทองมากมาย หรือมีเทคโนโลยีขั้นสุดยอดเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญของ Smart City คือการตอบคำถามให้ได้ว่า Smart City นั้น ‘Smart’ สำหรับใคร? และคำตอบที่ควรจะเป็นของคำถามนี้ ก็คือ Smart City นั้น ‘Smart’ กับพลเมืองทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมือง และการเป็น Smart City นั้นสามารถช่วยให้ทุกคนในเมืองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้…
ยิ่งเมืองนั้น มีเทคโนโลยีมากเท่าไหร่ การตั้งคำถามว่าพลเมืองของพวกเขาต้องการมันไหม ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากเท่านั้น และการแลกเปลี่ยนในประเด็นที่ว่าเทคโนโลยีแบบไหนที่ผู้คนต้องการ และเทคโนโลยีแบบไหนที่ผู้คนรู้สึกลังเลที่จะใช้ ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญด้วยเช่นกัน เพราะพลเมืองไม่เพียงแต่มีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล แต่พวกเขายังกังวลถึงเรื่องของการเคารพให้เกียรติด้วย ว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นเคารพและให้เกียรติพลเมืองแค่ไหน หรือว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นเห็นพวกเขาเป็นเพียงแค่เรื่องของข้อมูลเท่านั้น
และเรื่องนี้ยังย้อนไปถึงระบบการจัดการของเมืองๆ นั้นได้ด้วยเช่นกัน เพราะการควบคุมการจัดการข้อมูลของเมืองคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการจะสะท้อนบอกว่าเมืองแห่งนั้นมีการจัดการอย่างไร ซึ่งทั้งไทเปและโซลต่างมีกฎหมายที่ให้พลเมืองของตนมีสิทธิในการเข้าถึงและใช้ข้อมูลต่างๆ ขณะที่สิงคโปร์กับฮ่องกงไม่ได้มีสิทธิ์แบบเดียวกัน ซึ่งถือเป็นความแตกต่างเรื่องใหญ่ทีเดียว
ในท้ายที่สุดแล้วการที่เมืองสักเมืองจะอัปเกรดตัวเองให้กลายเป็น ‘Smart City’ ได้จึงอาจไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่หลายคนคิด เพราะแท้จริงแล้วหัวใจสำคัญรวมถึงจุดเริ่มต้นและปลายทางของมัน ก็คือการเป็น Smart City เพื่อพลเมืองของตน
ซึ่งมันก็ชัดเจนจริงใจ และเรียบง่ายเท่านั้นเอง
อ้างอิง
หน้าที่เข้าชม | 112,237 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 81,471 ครั้ง |
เปิดร้าน | 7 ส.ค. 2563 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |